CTR หรือ อัตรากาคลิก เป็นการทำโฆษณาอย่างหนึ่งเปรียบเสมือนเรามีหน้าร้านก็อยากให้คนเข้ามาดูสินค้าเยอะๆ ไม่ว่าจะขายได้หรือไม่ก็ตาม แต่อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่ามีคนสนใจสินค้าเราอยู่มาก ก็มีโอกาสที่จะขายได้มากเช่นกัน ซึ่งจะทำให้เราสามารถพัฒนากลยุทธทางการตลาดต่างๆต่อไป เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าเราให้มากที่สุด
CTR คืออะไร ?
CTR ย่อมาจากคำว่า Click Through Rate คือ อัตราส่วน หรือ เปอร์เซ็น(%) การคลิกโฆษณา ที่บ่งบอกว่าผู้เข้าชมมีการคลิกโฆษณา หรือแบรนด์เนอร์ที่ซื้อไว้บ่อยแค่ไหน โดยการคลิกเข้าไปชมสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ปรากฏให้เห็น เพื่อให้เข้าถึงสินค้า หรือแบรนด์ที่ผู้ทำโฆษณาต้องการสื่อสาร
มักใช้กับ Search Campaign คือ เมื่อมีการใช้ Keywords เพื่อแสดงถึงสินค้าหรือเรื่องที่ต้องการทราบ โฆษณาที่เกี่ยวข้องจะปรากฏขึ้น ดังนั้น อัตรา CTR จะสูงหรือไม่จึงอยู่ที่การเลือกใช้ Keywords ในโฆษณาด้วยว่ามีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด เพื่อนำข้อมูลมาปรับให้เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มอัตราการคลิกให้มากขึ้น ซึ่งจะสัมพันกับ Text Ad หรือข้อความที่ใช้ในการโฆษณาเพื่อเชิญชวนให้คลิกเข้าชมสินค้าของเราต่อไป
การคำนวณ CTR
- จำนวนการ Click : จำนวนผู้คนที่คลิกเข้ามาในโฆษณาของเรา
- จำนวนครั้งในการโฆษณา : หมายถึง จำนวนผู้คนที่เห็นโฆษาของเรา แต่ถ้าเห็นแล้วไม่ได้คลิก ก็จะไม่ทำให้เกิด CTR
ดังนั้น ยิ่งมีคนคลิกเยอะเท่าไหร่ อัตรการคลิก หรือ CTR ก็ย่อมสูงขึ้นตามนั่นเอง
ตัวอย่างเช่น โฆษณาที่แสดงอยู่บนหน้า website หากมีการแสดง 100 ครั้ง มีคนคลิกเข้าไปดู 10 ครั้ง CTR เท่ากับ 10% ยิ่งมีเปอร์เซ็นต์ของ CTR สูงเท่าไหร่ ก็แสดงว่า ทำการโฆษณาได้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย นับเป็นโฆษณาที่มีประสิทธิภาพ
CTR ควรอยู่ที่เท่าไร ?
CTR มาตรฐานของแต่ละธุรกิจนั้น ก็แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับรูปแบบโฆษณาเช่น Search Ads , Display Ads แต่สำหรับค่า CTR ที่สามารถบ่งบอกได้ว่าแบบนี้สิ ถึงเรียกว่ามีผลตอบรับที่ดี มีประสิทธิภาพ ก็ควรจะอยู่ในเกณฑ์ประมาณ 7-10% สำหรับ Search Ads
CTR มีความสำคัญอย่างไร
CTR เข้ามาช่วยในการประเมินโดยหากเปอร์เซ็นสูง แปลว่าโฆษณามีความน่าสนใจสูง แต่หากเปอร์เซ็นต่ำแสดงว่าโฆษณาไม่ได้รับความสนใจ ยกตัวอย่างเช่น หากโฆษณาบ่อยมาก มีคนเห็นเยอะก็จริงแต่มองข้ามนับเป็นโฆษณาที่ไม่มีประสิทธิภาพ แต่ถ้าโฆษณาปรากฏแล้วมีคนสนใจคลิก เท่ากับมีประสิทธิภาพ เพราะกระตุ้นให้คนสนใจอยากติดตามสินค้าของเราต่อไป
การปรับปรุง เพิ่ม CTR
หากเราต้องการทำ CTR ให้สูงขึ้น ต้องการให้คนคลิกเข้ามามากขึ้น ต้องทำให้โฆษณาของเราน่าสนใจ ดึงดูด ดังนี้
- กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่แน่นอน Target Audience โดยการเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง เพื่อเน้นกลุ่มคนที่สนใจเพื่อเพิ่มโอกาสที่จะทำให้เขาคลิก
ตัวอย่าง : หากเราขายแว่นกันแดด ก็ไม่ควรโฆษณาบนหน้าเวปที่เกี่ยวกับน้ำยาล้างจาน ซึ่งเป็นสินค้าคนละประเภทกัน ทำให้โอกาสที่คนจะคลิกนั่นน้อยลง
- Keywords ที่ใช้ในการ search ให้ตรงกับคำที่คนจะใช้ในการค้นหามากยิ่งขึ้น
ตัวอย่าง : ขายแว่นกันแดดก็ควรระบุไปเลยว่า แว่นกันแดด ประเภทอะไร รุ่นอะไร เช่น “แว่นตากันแดดทรงแคทอาย” เพราะหากใช้คำว่าแว่นเฉยๆ อาจเป็นแว่นว่ายน้ำ หรือแว่นสำหรับสายขึ้นมาได้
- Display Ads คือรูปภาพหรือข้อความที่แสดงในโฆษณาต้องดึงดูด ทำให้คนที่อ่านเกิดความสนใจที่อยากจะคลิกเข้ามาดูต่อ
หาก Keywords ดีอยู่แล้วต้องมาปรับปรุงการเขียน Title Tag, Description Tag, และ URL ที่แสดงบนหน้าผลการค้นหา คำนึงถึงจำนวนของตัวอักษร ให้มีความยาวพอดีกับการแสดงผลทั้งบน Desktop และ Mobile ให้ดูน่าสนใจและโดดเด่น จูงใจผู้ใช้งาน ให้คลิกเข้ามายังหน้าเว็บของเรา
- การเขียน Title Tag (หัวข้อ) : ใช้ประโยคที่ส่งผลให้เกิดอารมณ์ร่วมพื้นฐานของมนุษย์ สื่อถึงบุคคลิกหรือพฤติกรรม
ตัวอย่าง :
เวอร์ชันปกติ: เงินไม่พอใช้ : 10 วิธีหารายได้เสริม
เวอร์ชันอารมณ์/ความรู้สึก (กลัว): เงินไม่พอใช้ แนะนำอาชีพเสริมสร้างรายได้ 3 เท่า ของพนักงานเงินเดือน !
- การเขียน Description Tag (คำอธิบาย) : เพิ่มคำที่ “ทรงพลัง” ในการอธิบาย
ตัวอย่าง : หุ่นต้องปัง มาทำกล้ามเนื้อให้ฟิต ด้วย 15 ท่าออกกำลังกายง่าย ๆ เรียนรู้วิธีไปกับเทรนเนอร์สุดฮ๊อตแห่งปี!
- การเลือกใช้ URL : ใช้ URL ที่อธิบายถึงเนื้อหาภายในได้ “สั้นกระชับ เข้าใจง่าย”
ตัวอย่าง : URL ที่ควรหลีกเลี่ยง
- https://example.com/category=writing-tips/id=123?
- https://example.com/category=วิธีการออกกำลังกาย–tips/id=123?
URL ที่อธิบายเนื้อหา
- https://example.com/content-writing-tips/
- https://example.com/วิธีการออกกำลังกาย/
สรุป
ปัจจุบันการตลาดช่องทางออนไลน์มีความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆโดยมุ่งเน้นการทำ Digital Marketing หรือรูปแบบการตลาดที่ใช้หลักการของ Marketing พร้อมนำเทคโนโลยีต่างๆทางออนไลน์ เข้ามาช่วย เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคหรือลูกค้ามากยิ่งขึ้น เพราะเนื่องด้วยการดำเนินชีวิตและพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งใช้เวลากับสื่อออนไลน์มากขึ้นตามเทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา
การทำการตลาดจะไม่หยุดแค่ที่โลก Offline อีกต่อไป โดยทุกวันนี้การสื่อสารกับลูกค้าผ่านสื่อโทรทัศน์ โทรศัพท์ หนังสือพิมพ์ หรือโฆษณาบนป้ายโปสเตอร์นั้น อาจจะไม่เข้าถึงลูกค้า หรือกลุ่มเป้าหมายได้ดี ดังนั้น หากต้องการโน้มน้าวพฤติกรรมการบริโภคของลูกค้าได้ถูกช่วงเวลาและถูกวิธีบนโลกออนไลน์ การกำหนดช่องทางที่จะสื่อสารกับผู้บริโภค (Touch Points) เป็นสิ่งสำคัญ เพราะฉะนั้น การใช้สื่อออนไลน์อย่าง Facebook, Line, Instagram ก็อาจจะสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ดีกว่าการสื่อสารแบบเดิมๆ
การทำ CTR หรือ ที่รู้จักกันในนามว่า อัตราการคลิกจากผู้สนใจ เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญทางการตลาดซึ่งจุดเด่น คือทำให้สื่อออนไลน์ของเราสามารถ Track ข้อมูลเพื่อวัดผลได้ จึงเป็น 1 ในการประเมินผลจากการคลิกลิงก์ ที่ใช้วัดคุณภาพทำให้รู้ว่าโฆษณาของคุณมีความน่าสนใจมากน้อยขนาดไหน ถือว่าเป็นตัวแปรสำคัญ ในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับโฆษณา
แหลงข้อมูลอ้างอิง :