หลายคนเพิ่มเริ่มทำธุรกิจ พอถึงจุดนึง ก็จะหาวิธีการขยายธุรกิจโดย ทำการตลาดออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Facebook , IG , Youtube และหนึ่งในนั้นที่คลาสสิกสุดๆเลย คือ Website ตอนเริ่มทำ Website ก็จะหาวิธีการสร้างมัน มีการลง Theme ติด Plugin ตกแต่งลูกเล่นให้สวยงาม ระหว่างเข้าสู่วงการการทำ Website ก็จะต้องเจอคำว่า “SEO” ผ่านหูผ่านตาอยู่ตลอด … คำถามแรกที่คนที่ได้ยินคำว่า SEO คือจะถามกันว่า มันคืออะไร ?? ทำไปเพื่ออะไร ?? ซึ่งเราจะมาหาคำตอบกันในนี้
ให้เข้าใจแบบง่ายที่สุดเลยคือ … การทำ SEO เป็นการทำให้ Website ของคุณติดหน้าแรกบน Google
… เวลาใครค้นหาคำต่างๆ บน Google เช่นคำว่า “ที่เที่ยวหินหัว”
ระบบ Search engine ของ Google ก็จะทำการประมวลผลเรียงลำดับเว็บไซต์ต่างๆ ออกมาให้เราเลือกเข้าไปชม
ซึ่งเว็บไซต์ที่ติดอันดับแรกๆ จะเป็นเว็บไซต์ที่มีการทำ SEO ที่ดี ทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์เหล่านี้มีคุณภาพเลยนำมาขึ้นหน้าแรกให้คนเข้าชม ส่วนเว็บไซต์ที่ Google มองว่าไม่ดี ก็จะเอาไว้หน้าหลังๆ
โดยธรรมชาติคนเราเวลาค้นหาคำอะไรบน Google ก็จะคลิกพวกอันดับแรกๆ ใช่ไหมล่ะครับ
ให้ลองนึกภาพตามว่า Google ก็เปรียบเสมือนร้านขายหนังสือ เค้าก็ต้องเลือกเอาหนังสือดีๆ มาวางในที่คนเห็นมากที่สุด เค้าไม่ยอมเลือกหนังสือแย่ๆขึ้นมาหรอกครับ เพราะคนอ่านอาจเกิดการผิดหวัง เสียความรู้สึกได้ เพื่อที่จะรักษาความเป็นร้านหนังสือที่ดี ก็ต้องเลือกดีหนังสือที่น่าอ่าน น่าสนใจ ให้คนที่อ่านแล้วรู้สึกดี
ส่วนจะมีบางเว็บไซต์ที่ใช้การเสียเงินยิง Ad กับทาง Google โดยตรง ซึ่งตรงนี้เค้าจะได้ขึ้นหน้าแรกอยู่แล้ว แต่เราไม่ต้องไปกลัวเลยครับ ในระยะยาวเว็บไซต์ที่ทำ SEO ยังไงก็จะเป็นผู้ชนะ เพราะถ้าเค้าเหล่านั้นหยุดยิง Ad เมื่อไหร่ อันดับจะร่วงทันที และผู้ใช้งานบางคนนิยมหลีกเลี่ยงเว็บไซต์ที่เป็น Ad อีกด้วย
ศึกษา SEO ไม่ยากครับ สามารถเรียนรู้กันได้ทุกคน … ผมรับประกัน
เนื้อหา SEO ที่สำคัญ
SEO คือ
ทั้งนี้ SEO ย่อมาจากคำว่า Search Engine Optimization เป็นกระบวนที่ทำให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับการค้นหาบน Google แบบที่ไม่ต้องจ่ายเงินค่าโฆษณา (เป็นการทำแบบ Organic) ซึ่งกระบวนที่ทำ SEO ที่ว่านี้ จะรวมถึงการ ตกแต่งเว็บไซต์ ปรับโครงสร้างเนื้อหาต่างๆ ให้ Google ชอบเว็บไซต์เรา
ปัจจัยในการจัดอันดับของ Google
การจัดอันดับของ Google ค่อนข้างซับซ้อน เขาจะใช้ Algorithm ในการจัดอันดับ โดยจะพิจารณาจากหลายๆปัจจัย (มากกว่า 200 ปัจจัย) แต่จะมีเพียงปัจจัยพื้นฐานหลักๆที่เราจำเป็นต้องทำไม่กี่ปัจจัย ทั้ง On-page และ Off-page ซึ่งหน้าที่เราคือควรโฟกัสในส่วนนี้ ทำให้ตรงตามระบบของ SERP (Search engin resuls page) เพื่อที่อันดับของเว็บไซต์เราดีขึ้น
ส่วนปัจจัยพื้นฐานหลักๆที่ Google พิจารณาคือ
- ชื่อเสียงบนโลก Online : ขนาดเว็บ , อายุ , จำนวนคนเข้าเว็บ
- โครงสร้างเนื้อ : วางโครงสร้างตามหลักการ มี Title, H1, H2, สารบัญ
- การมีส่วนร่วมของคนเข้าชมเว็บไซต์ : อยู่บนเว็บเรานาน อัตราการคลิกต่อเยอะ
200 ปัจจัย ในการจัดอันดับของ Google ฉบับเต็ม
เนื้อหา
ก่อนไปเข้าเรื่องการทำ On-page และ Off-page ของ SEO ต้องมาพูดถึง “แก่น” ของเว็บไซต์กันก่อนเลยก็คือ “เนื้อหา” คือต่อให้ Website เราสวยแค่ไหนก็ตาม แต่เนื้อหาที่นำเสนอกลวง คนเข้ามาเว็บไซต์แล้วไม่ได้อะไรเลย ก็ไม่มีประโยชน์ Google ไม่ชอบ … จึงอยากให้คนที่เริ่มทำ SEO อย่าพึ่งไปปรับแต่งอะไรมากมาย ให้เริ่มจาก เนื้อหา ที่ดีก่อน ถ้าเนื้อหาดี การปรับแต่ง SEO จะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างมาก … ถ้าโครงสร้างดี การปรับแต่งในอนาคตจะสบาย
คุณภาพของเนื้อหาบนเว็บไซต์ของเราดีมากเท่าไหร่ โอกาสที่ Google จะจัดอันดับเว็บไซต์เราให้สูงขึ้นก็มีมากเท่านั้น ยิ่งเนื้อหาดี คนยิ่งอ่านนาน คนยิ่งอยากซื้อของจากเว็บเรา Google ก็จะยิ่งชอบเราเช่นเดียวกัน
ส่วนการนำเสนอของเนื้อหานั้นก็มีหลากหลายแบบอันนี้จะค่อนข้างเป็นศิลปะ ไม่มีผิดถูก แต่อยากให้ใส่ความตั้งใจลงไปเนื้อหาให้เต็มที่ ไม่ทำส่งๆ เพราะเดี๋ยวนี้คนเราฉลาด รู้ว่าอันไหนของปลอม อันไหนของจริง และ Google ก็ฉลาดเช่นเดียวกัน รู้เหมือนกันว่าเว็บไซต์เราทำแบบไม่ตั้งใจ หรือทำแบบตั้งใจ … ทุกเว็บไซต์ที่ประสบความสำเร็จในวงการ SEO มาจากการตั้งใจทำทั้งสิ้น ไม่มีโชคเลย
คำว่า “เนื้อหา” ที่สื่อนี้ ไม่ได้หมายความว่า เราต้องพิมพ์คำเยอะๆ แต่จะหมายถึงเว็บไซต์ของเราจะสื่ออะไรกับคนที่มาเข้าชมมากกว่า จะเป็นรูปภาพ , VDO , ข้อความ, สินค้า หรืออะไรก็ได้ ขอให้สื่อให้ถึงคนที่เข้ามาว่าเข้าจะได้อะไรจากการเข้ามาดูเว็บเรา
การทำให้เนื้อหาน่าสนใจมีหลากหลายวิธี :
- ตัวอักษร
- รูปภาพ
- Video
- Podcast
- Infographics
ยิ่งเราผสมผสานสิ่งเหล่านี้เรากันได้ ก็จะยิ่งทำให้เนื้อหาของเราน่าสนใจอย่างมาก … อย่าลืมเรื่อง คุณภาพด้วยนะครับ เป็นสิ่งสำคัญของ SEO เลย
และสิ่งสำคัญที่ต่อเนื่องจากเนื้อหาของเรา คือ Keyword … เวลาเราสร้าง Content หรือเว็บไซต์ขึ้นมา เราต้องรู้ว่า Keyword ที่เราต้องการให้ติดอันดับบน Google คือคำว่าอะไร เพื่อที่จะสร้างเนื้อหาให้เกี่ยวข้องกับ Keyword นั้น
Tip : อย่าลืมเรื่องความสดใหม่ของข้อมูลด้วยนะครับ … ยิ่งสด Google ยิ่งชอบ … ใครที่เคยเก่าเนื้อหาเก่าๆไว้แล้ว ก็แวะเข้าไปอัพเดทข้อมูลให้สดใหม่อยู่เสมอนะครับ
การปรับ On-Page และ Off-Page SEO
คำพูดติดปากของคนทำ SEO คือให้ปรับ On-Page และ Off-Page ซึ่งถ้าทำ 2 อย่างนี้ได้ อันดับของเว็บไซต์ของคุณจะดีขึ้นแน่นอน
ให้เข้าใจง่าย On-Page คือปัจจัยภายในของเว็บไซต์เรา เช่น Title, Meta Description, Sub-headings, Internal links, Image เป็นต้น ส่วน Off-Page คือปัจจัยภายนอกของเว็บ เช่น ความน่าเชื่อถือ, Social, Backlink เป็นต้น
On-Page SEO
เป็นการทำให้โครงสร้าง Page บนหน้า Website ของทุกต้องตามหลักการของ Google ซึ่งการทำ On-Page เป็นปัจจัยที่เราสามารถควบคุมได้ โดยจะมีส่วนหลักๆที่เราต้องดูคือ
- Title tag (ชื่อหัวข้อ) : นี่จะเป็นตัวกำหนดถึง Keyword ที่ระบบ Search engine จะมองว่าเว็บไซต์เราเกี่ยวกับเรื่องอะไร โดยปกติความยาว หัวข้อ จะอยู่ที่ไม่เกิน 70 คำ และควรโฟกัสไปที่ Keyword ที่เกี่ยวกับเนื้อของหาของเรา
- Meta Description : ในส่วนนี้เป็นข้อความอธิบายย่อยออกมาต่อจากหัวข้อ คอยเพิ่มเติมว่าเนื้อหาในเว็บไซต์เราเกี่ยวกับอะไร ให้คนที่กำลังค้นหาเห็นข้อมูลเพื่อพิจารณาในการเข้าเว็บไซต์มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้การเขียน Meta Description ก็ควรให้มีความยาวที่พอเหมาะ มี Keyword ประกอบ และอ่านเป็นธรรมาชาติ
- Sub-headings : การใช้ H1, H2 และ H3 ในการกำหนดหัวข้อในเนื้อหาบทความ เพื่อให้คนที่เข้ามาอ่านง่าย นี่จะทำให้ Google ให้คะแนนเรามากขึ้น
- Internal Links : เว็บไซต์หรือเนื้อหาบทความที่ดีควรมีลิงค์ภายในเว็บ ให้คนอ่านสามารถคลิ๊กต่อไปได้ เพื่อที่จะอยู่บนเว็บไซต์เรานานๆ
- Image Name และ ALT Tags : การตั้งชื่อรูปภาพ มีส่วนสำคัญเหมือนกันต่อ SEO เราควรตั้งชื่อรูปให้สอดคล้องกับเนื้อหาบนเว็บไซต์เรา และที่สำคัญอย่าลืมใส่ ALT Tag ด้วย เพราะถ้าไม่ใส่ Google จะไม่ Index รูปภาพเรา ซึ่งหมายความว่า ไม่ใส่ ALT = ไม่ติด Google
Tip : รูปภาพไหนไม่อยากให้ติดบน Google ก็ไม่ต้องใส่ ALT ก็ได้ครับ
สำหรับเว็บที่ใส่ ALT บนรูป เวลา Search ก็จะปรากฏใส่ Google Image
นี่เป็นหลักพื้นฐานในการทำ On-Page SEO บน Website โดยแนะนำว่าในการทำสิ่งต่างๆเหล่านี้ ที่สำคัญคือ พยายามทำให้เป็นธรรมชาติ อย่าปรับให้ Perfect มากเกินไป Google เค้าฉลาด เค้าดูออก บางคนไปใส่คำที่ต้องการติดหน้าหนึ่งมากเกินไป จนทำให้ Google มองเป็นลักษณะ Over-optimize ก็จะถูกลดคะแนนการจัดอันดับลงได้
อีกอย่างหนึ่งคือ 1 หน้ากระดาษ หรือ 1 หน้าเว็บไซต์ ควรโฟกัสไปที่ Keyword เพียง 1-2 คำ หากต้องการ Keyword มากกว่านั้น ให้เปิดหน้าใหม่
โดยพวกความสวยงามและความง่ายในการใช้งานเว็บไซต์ก็มีผลอย่างยิ่งเหมือนกัน เพราะจะทำให้คนอยู่บน Website เรานาน
และอย่าลืมเดี๋ยวนี้คนส่วนมากใช้โทรศัพท์มือถือในการเปิดอ่านข้อมูลกันมากขึ้น เราก็ควรให้ Website เราสามารถเปิดอ่านบนมือถือได้สะดวกเช่นเดียวกัน (Mobile-friendly)
Off-Page SEO
การทำ Off-Page SEO ซึ่งตรงนี้จะเกี่ยวกับปัจจัยภาพนอกของเว็บไซต์เราและ บางอันเราก็ควบคุมได้ บางอันเราก็ควบคุมไม่ได้ โดยมีผลสำคัญต่อการจัดอันดับของ Google เช่นเดียวกัน
- ความน่าเชื่อถือ : สิ่งสำคัญที่ Google จะพิจารณาถึงความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์เรา คือ Backlink หรือ Link ที่เกิดจาก Website อื่น ส่งตรงมายังเว็บไซต์เรา ยิ่ง Backlink ที่ส่งมายังเว็บเรามีคุณภาพ ก็จะทำให้ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์เราในสายตา Google ดีขึ้น
Tip : ระวังเรื่องการรับทำ Backlink ไม่มีคุณภาพ คือ แปะๆ ไปงั้น ไม่มีคนกด Link นั้น … ส่วนมากโดนหลอก เสียเงินฟรี (พวก SEO สายดำ ชอบทำกัน) Google เค้าพัฒนาอยู่ตลอด สิ่งสำคัญที่สุดที่เค้าต้องการคือให้ คนค้นหา ได้อ่านเว็บไซต์ที่มีคุณภาพจริงๆ ไม่ใช่จากเว็บไซต์ที่แค่ไปแปะ Link … ทำให้เว็บไซต์เรามีคุณภาพจนคนแชร์ หรือคนเอาไปพูดถึงบนเว็บไซต์ของเราดีกว่า
- Social : การแชร์บน Social ก็มีผลด้วยเช่นกัน ยิ่งบทความไหนของเว็บไซต์เราถูกแชร์มาก ก็จะทำให้ Google ให้คะแนนบทความนั้นมากกว่าบทความที่ไม่มีคนแชร์บน Social
จะเห็นได้ว่าการทำ Off-Page เราไม่สามารถควบคุมได้โดยตรง แต่พอที่จะทำให้มันดีขึ้นได้ โดยอาศัยคุณภาพของเนื้อหาและเว็บไซต์ของเราเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
SEO สายขาว สายดำ
เส้นการทำ SEO มีอยู่ 2 เส้นทาง คือ สายขาว กับ สายดำ
SEO สายขาว : เป็นการทำ SEO ตามธรรมชาติ เป็นไปอย่างถูกต้องตามหลัก ซึ่งวิธีนี้ข้อเสียหลักๆ คือ ใช้เวลาการทำนานมากๆ ปกติขึ้นหน้าแรกก็ใช้อย่างน้อย 1 เดือน และถ้าจะให้ติดอันดับ 1-3 ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-6 เดือน กันเลยทีเดียว แต่ข้อดีของวิธีนี้คือ ปลอดภัยจาก Google แถมถ้าติดอันดับแล้วจะติดนาน อันดับหล่นค่อนข้างยาก
ข้อดี : ติดนาน หล่นยาก
ข้อเสีย : ใช้เวลานาน
SEO สายดำ : เป็นวิธีการทำ SEO แบบใช้ช่องว่างของ Google เช่น ปั้ม Backlink , สร้างลิงค์เยอะๆ , สร้างจำนวนหน้ามากๆ เป็นต้น วิธีการเหล่านี้อาจจะเป็นผลดีในระยะสั้น เว็บไซต์เราอาจขึ้นอันดับเร็ว แต่ระยะยาวบอกเลยว่าอันตราบ เพราะอย่างที่กล่าวมาตลอด Google เค้าพัฒนาขึ้นทุกวัน หากวันนึงเค้าจับคุณได้ว่าเป็นพวก Spam เว็บไซต์คุณอาจโดนแบน และถูกถอดออกจาก Index ของ Google เลยก็ได้
ข้อดี : ติดอันดับเร็ว
ข้อเสีย : หล่นง่าย , ไม่ยั่งยืน และ มีโอกาสโดนแบนจาก Google
สรุปสุดท้าย SEO คืออะไร
การทำ SEO ก็คล้ายกับการปลูกต้นไม้ ที่ต้องอาศัยการดูแลตลอดเวลา และที่สำคัญต้องใช้ “เวลา” ในการเติบโต คืออย่าไปเร่งมัน ปล่อยให้มันโตไปอย่างธรรมาชาติ แล้วถึงวันนึงเราจะได้เห็นต้นไม้ที่สวยงามในที่สุด เหมือนกับ Website เมื่อเราทำจนติดอันดับ 1 บน Google คนเข้าเว็บไซตจะเพิ่มขึ้น ยอดขายก็จะเพิ่มตามด้วยเช่นเดียวกัน
แหล่งข้อมูลที่มา